“การตลาดออนไลน์” คืออะไร

“การตลาด” คืออะไร

สมาคมการตลาดของอเมริกา (American Marketing Association) ได้ให้นิยามของการตลาดไว้ว่า

AMERICAN MARKETING ASSOCIATION LOGO(หน้าตา โลโก้ สมาคม)

“กิจกรรมต่างๆ ที่สร้างขึ้น หรือจัดขึ้นเพื่อให้เกิดการสื่อสาร ,ส่งผ่านข้อมูล, รวมถึงคุณค่า จากเราสู่ลูกค้า, ผู้ร่วมค้า หรือแม้กระทั่ง ผู้คนทั่วไปที่เราต้องการส่งถึง”

สมัยก่อน เราจะเห็นว่าถ้าเรามีผลิตภัณฑ์ต้องการจะขาย

  1. เราต้องระบุเป้าหมายก่อน ว่าผลิตภัณฑ์เราจะขายใคร
  2. ช่องทางในการเข้าถึงลูกค้า
  3. เราจะสื่อสารอย่างไร ให้ลูกค้าเราสนใจ
  4. ปิดการขาย + รับคำแนะนำทดลองสินค้า + พัฒนาผลิตภัณฑ์พร้อมขยายฐานลูกค้า

screen-shot-2016-08-31-at-9-51-52-am(การตลาดสมัยก่อน ที่เราต้องใช้เงินจำนวนมากในการโฆษณา เช่นทาง TV)

วิเคราะห์เล่นๆ การตลาดสมัยเก่า vs. การตลาดสมัยใหม่

  1. ข้อแรก – ระบุลูกค้า
    ไม่ว่าอดีต หรือปัจจุบัน วิธีในการค้นหาลูกค้าแทบไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก เช่น หากเราต้องการขาย “กาแฟ” ก็คงต้องจดในบันทึกว่า ลูกค้าลำดับต้นๆเป็นคนที่ชอบดื่ม “การแฟ”, “ผู้ชาย”, “อายุตั้งแต่ 18 ขึ้นไป”
  2. ช่องทางขาย
    ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลังจากข้อแรกเสร็จ ก็คงเดินหาลูกค้า เจอ 1 คน ก็เท่ากับ 1 ราย ใช้เวลา อาจจะ 10 นาที – 1 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ในการเดินทาง จนถึงปิดการขาย
    ปัจจุบัน เรามีหลายช่องทาง และหลายเครื่องมือในการ เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก เช่น Facebook, Google, Line, และช่องทางอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเพียงแค่ 1 วันก็สามารถโชว์ ผลิตภัณฑ์เข้าถึงลูกค้าได้นับ 100 นับ 10,000 หรือ นับ 1,000,0000 คน ต่อวันก็ได้ ขึ้นกับ เงินลงทุน (Budget) ของคุณ
    และแน่นอนว่า ยิ่งแต่ละวันคนมองเห็นมากกว่าเดิมหลาย ร้อย หลาย พันเท่า นั่นหมายถึง โอกาสในการขายของแต่ละวัน ก็มากขึ้นทวีคูณ รวมถึงรายได้ ต่างๆที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  3.  การสื่อสาร
    ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงต้องมานั่งเตรียมกันเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ทั้งออกแบบ ให้ดีก่อนการนำเสนอให้แต่ละคนดู เพราะคนแต่ละคนก็มีความชอบไม่เหมือนกันอีก
    ปัจจุบัน เราสามารถทำ A//B Testing (จะอธิบายเพิ่มในบทถัดๆไปครับ) เพื่อทดสอบความชอบของแต่ละคนได้ ว่าใครคือลูกค้าเราที่แท้จริง เพื่อเก็บไว้เป็นฐานลูกค้า และใครที่ไม่ใช่ เพื่อทำการคัดออก ดังนั้นการตลาดออนไลน์ จึงเป็นอะไรที่ง่าย และทำได้ไวมากกว่าแต่ก่อนมากครับ
  4. ปิดการขาย
    ไม่ว่าอดีต หรือปัจจุบัน การปิดการขาย ไม่ต่างกันมากนัก เพราะถ้าลูกค้าสนใจในผลิตภัณฑ์เราจริงๆ หรือลูกค้าเข้าใจใน ข้อ 3. ที่เราได้นำเสนอหรือพยายามอธิบายมา ลูกค้าจะซื้อเองและปิดการขายอย่างง่ายดาย รวมถึงถ้าเราเลือกลูกค้าถูก ลูกค้ากลุ่มนั้นจะเหมือนทำหน้าที่การตลาดให้เราไปโดยปริยายครับ แล้วถ้าลูกค้าไม่ชอบล่ะ นั่นคือขั้นต่อไปในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์โดยฟังจากเสียงของลูกค้าครับ (จะอธิบายโดยแทรกในบทถัดๆไป)

Quote - Bill Gates

“การที่ลูกค้าบ่นเรานั่นแหละ คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในการเรียนรู้” –
บิล เกตส์, ไมโครซอฟท์ (บุคคลที่รวยที่สุดในโลก 2016)

แล้ว ?

จะเริ่มเรียน “การตลาดออนไลน์” อย่างไรดีนะ << คลิกอ่านต่อได้เลย !